Monday, October 5, 2009

OEE

ย่อมาจากคำว่า Overall Equipment Effectiveness เป็นตัวชี้วัดประสิทธิภาพ และประสิทธิผลการทำงานของเครื่องจักร ซึ่งมีตัวแปรหลัก 3 ค่า คือ

1. อัตราการเดินเครื่อง (A : Availability)
การแสดงความพร้อมของเครื่องจักรในการทำงาน เป็นการเปรียบเทียบระหว่างเวลาเดินเครื่อง (Operating Time) กับเวลารับภาระงาน (Loading Time)หรือหมายถึงช่วงเวลาที่เครื่องจักรสามารถที่จะสร้างผลผลิตให้ในช่วงเวลาที่วางแผนให้เครื่องจักรนั้นทำงาน ถ้าเครื่องจักรหยุดทำงานนั้นหมายถึง มีค่าใช้จ่ายเกิดขึ้นโดยที่ไม่มีการสร้างมูลค่าเพิ่ม ไม่ว่าสาเหตุของการหยุดของเครื่องจักรจะเกิดจากตัวเครื่องจักรเอง วัตถุดิบ หรือจะเกิดจาก operator ที่ควบคุมเครื่อง ซึ่งปัจจัยเหล่านี้จะทำให้ A หรือ Availability ของเครื่องจักรมีค่าลดลง

2. ประสิทธิภาพการเดินเครื่อง (P : Performance Efficiency)
การแสดงสมรรถนะเครื่องจักรในการทำงาน เป็นการเปรียบเทียบระหว่างเวลาเดินเครื่องสุทธิ (Net Operating Time) กับเวลาเดินเครื่อง(Operating Time) หรือเราจะมองเปรียบเทียบระหว่าง Actual cycle time กับ Ideal cycle time ในอีกด้านหนึ่งคือการเทียบผลผลิตที่ได้จริงเทียบกับผลผลิตที่ควรจะได้ที่ ideal cycle time

3. อัตราคุณภาพ (Q : Quality Rate)
การแสดงความสามารถในการผลิตของดีตรงตามข้อกำหนดของเครื่องจักร ต่อจำนวนของที่ผลิตได้ทั้งหมด
ซึ่งการได้มาของข้อมูลในส่วนที่เป็น A,P สามารถที่จะใช้ อุปกรณ์ measurement บางตัวมาต่อกับเครื่องจักรเพื่อทำการเก็บค่า A,P จากเครื่องจักรโดยตรงทำให้สามารถที่จะได้ค่าที่ แม่นยำ มากกว่าการใช้ manual จดลง Production sheet แต่ก็ต้องแลกมากับการลงทุนครับ ซึ่งวันหลังจะเอาโปรเจคส์ที่เคยผ่านหูผ่านตามาเล่าให้ฟัง

เดี๋ยวเราลองดูสูตรและตัวอย่างการคำนวณ OEE ดูกันหน่อยน่ะครับ

การคำนวณ OEE (ข้อมูลจาก http://www.ierit.rmuti.ac.th/ie/html/Oee.htm)ประกอบด้วยผลคูณของ 3 Factors ดังนี้

OEE = อัตราเดินเครื่อง x ประสิทธิภาพเดินเครื่อง x อัตราคุณภาพ= (Availability)x(Performance Efficiency)x(Quality Rate)

ซึ่งเมื่อนำปัจจัยต่างๆ ที่ส่งผลกระทบต่อระบบการผลิต อันได้แก่ พนักงาน, เครื่องจักร และชิ้นงานที่ผลิต มาวิเคราะห์แล้ว จะทำให้ทราบได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับระบบการผลิตของเราบ้าง ซึ่ง OEE จะเป็นดัชนีที่ชี้ให้เห็นสภาพโดยรวมในระบบการผลิตนั่นเอง

ตัวอย่างการคำนวณและวิเคราะห์ OEE อย่างง่ายนายแดงเป็นพนักงานที่ได้รับมอบหมายให้ผลิตงาน A จำนวน 100 ชิ้น ที่เครื่องจักร M1 ที่ต้องเดินเครื่อง 400 นาที/วัน แต่นายแดงผลิตงานได้จริงเพียง 80 ชิ้น ในจำนวนนี้มีงานเสีย 10 ชิ้น โดยที่เครื่องจักรไม่มีการหยุดระหว่างการทำงานเลย
เนื่องจากไม่มีการหยุดการทำงานเลยดังนั้น
อัตราการเดินเครื่อง(Availability) = 100% ประสิทธิภาพการเดินเครื่อง
(Performance Efficiency) = งานที่ได้/จำนวนชิ้นงานเมื่อทำงานเต็มประสิทธิภาพ = (80/100)*100% = 80%
อัตราคุณภาพ(Quality Rate) = จำนวนชิ้นงานดี/จำนวนชิ้นงานทั้งหมด = ((80-10)/80)*100% = 87.5%
ดังนั้น OEE = 100%*80%*87.5%= 70%

OEE ที่เครื่องจักร M1 ซึ่งมีนายแดงเป็นผู้รับผิดชอบ มีค่าเท่ากับ 70%

การคำนวณ OEE ไม่ยากความยากไปอยู่ที่การเก็บข้อมูลต่างหาก ถ้าหากบริษัทมีการใช้โปรแกรมที่รองรับในเรื่องของ production ก็จะมีการเก็บข้อมูลที่สามารถนำมาออกรายงาน OEE ได้ครับ

การปรับปรุงค่า OEE ทำอย่างไร

OEE เป็นค่าเปอร์เซ็นต์ที่มาจากการคูณกันระหว่าง Availability, Performance Efficiency และ Quality Rate ดังนั้นการปรับปรุงค่า OEE ก็คือการปรับปรุงค่าทั้งสามเหลานี้ตัวใดตัวหนึ่ง หรือสองตัว หรือทั้งสามตัว ขึ้นอยู่กับความจำเป็นเร่งด่วนหรือขึ้นอยู่กับนโยบายในขณะนั้น แต่ถ้าไม่มีความจำเป็นหรือนโยบายอะไรเป็นพิเศษ โดยปกติเราจะปรับปรุงค่าที่ต่ำที่สุดก่อน (หรือเราอาจจะใช้ในเรื่องของ pareto เข้ามาจับข้อมูลก่อนเพื่อเรียงลำดับความสำคัญ)การที่เราปรับปรุงตัวที่มีค่าต่ำที่สุดไม่ว่าจะเป็น A, P หรือ Q จะส่งผลกับค่า ของ OEE มากกว่าการที่ไปเพิ่มตัวที่สูงอยู่แล้ว ความรู้พื้นฐานอย่างหนึ่งที่ต้องใช้ในการปรับปรุงค่า OEE คือต้องรู้ว่าค่า Availability จะต่ำหรือสูงขึ้นอยู่กับว่า Shutdown losses มีมากหรือน้อย ค่า Performance Efficiency จะต่ำหรือสูงขึ้นอยู่กับว่า Capacity losses มีมากหรือน้อย และ ค่า Quality Rate จะต่ำหรือสูง ขึ้นอยู่กับว่า Yield losses มีมากหรือน้อยและเมื่อเรามีความรู้พื้นฐานดังกล่าว จะทำให้เราทราบว่าหากต้องการปรับปรุงค่า Availability เราต้องพยายามลด Shutdown losses เช่น Machine Breakdown, Process Setup, และ เหตุการณ์ต่างๆใดๆก็ตามที่เกิดขึ้นแล้วทำให้เครื่องจักรต้องหยุดเดิน หากเราต้องการปรับปรุงค่า Performance Efficiency เราต้องพยายามลด Capacity losses เช่น Machine Idle, Process Startup และ เหตุการณ์ต่างๆใดๆก็ตามที่เกิดขึ้นแล้วทำให้เครื่องจักรเสียความเร็วหรือเสียยอดการผลิต และหากต้องการปรับปรุงค่า Quality Rate เราต้องพยายามลด Yield losses เช่น Defect, Rework และเหตุการณ์ต่างๆใดๆก็ตามที่เกิดขึ้นแล้วทำให้อัตราการใช้ประโยชน์จากวัตถุดิบต่ำลง

การที่เราผลิตของเสีย หรือการที่ไม่สามารถที่จะใช้ประสิทธิภาพของเครื่องจักรได้ 100% นั่นหมายถึงเกิดความสูญเปล่า(waste)ขึ้นมา ซึ่งทำให้ต้นทุนกับสินค้าสูงขึ้น ซึ่งพอพูดถึง waste ก้ทำให้นึกถึง LEAN ในโอกาสถัดไปน่าจะมีเรื่องของ LEAN มาเล่าสู่กันฟัง น่าจะพอเห็นภาพ OEE กันพอสมควรน่ะครับ ข้อมูลอื่นๆของ OEE สามารถที่จะหาได้จาก


http://www.tpmconsulting.org/main_oee.htm
http://www.ierit.rmuti.ac.th/ie/html/Oee.htm
http://www.vorne.com/
http://www.articlesbase.com/leadership-articles/oee-lean-manufacturing-metric-219215.html#
http://leanmanufacturingcoaching.com/index.php?option=com_content&task=view&id=24&Itemid=52
http://www.google.com/ (หากินง่ายอีกแล้ว)

เสือมืด
2009/10/05

No comments: