Sunday, January 3, 2010

จับจ้องมองเทรนด์ "โซเชียล เว็บ" ปี53

จับจ้องมองเทรนด์ "โซเชียล เว็บ" ปี53โดย : เอกรัตน์ สาธุธรรม
ที่มา www.bangkokbiznews.com (วันที่ 1 มกราคม 2553)





การขยายตัวของโซเชียล เน็คเวิร์คในไทย กลายเป็น "ทอล์ค ออฟ เดอะทาวน์" แห่งปี 2552 ด้วยผู้ใช้บริการโดยเฉพาะ 2 เว็บหลัก ทั้งทวิตเตอร์ และเฟซบุ๊ค เพิ่มขึ้นต่อเดือนเป็น 100% ทั้งยังเป็น "เทรนด์" ของการทำตลาดรูปแบบใหม่ ที่สินค้า และบริการ ต่างปรับแนวคิดใช้ช่องทางเครือข่ายสังคม ขยายฐานลูกค้าใหม่ๆ


ปี 2553 คาดว่า จะเป็น "ปีทอง" แห่งพัฒนาการ การใช้โซเชียล เน็ตเวิร์คของคนไทย ทั้งในเชิงสังคม และธุรกิจ

นายภาวุธ พงษ์วิทยภานุ กรรมการผู้จัดการบริษัทตลาดดอทคอม และกูรูด้านโซเชียล เน็ตเวิร์ค กล่าวว่า สาเหตุที่มีคนใช้งานโซเชียล เน็ตเวิร์คเพิ่มขึ้นตลอดเวลาในรอบปีที่ผ่านมาว่า เพราะเครือข่ายดังกล่าวมีความสัมพันธ์ (Relation) ระหว่างบุคคลที่มาจากเครือข่ายของเพื่อน ของคนรู้จัก มากมาย

"เราสามารถเข้าถึงกลุ่มคนที่เรารู้จักมากๆ ได้ทันที แม้ว่าเราจะอยู่ที่ไหนก็ตาม แต่บางทีมันก็เป็นข้อเสียเช่นกัน เพราะอาจทำให้คนบางคน เริ่มหลุด หรือใช้เวลาน้อยลงจากสังคมจริงๆ หันไปใช้เวลากับโซเชียล เน็ตเวิร์ค มากขึ้นและยิ่งเดียวนี้ช่องทางการเข้าถึง ทำได้ง่ายมากขึ้นด้วย เช่น บนมือถือ คอมพิวเตอร์ และอนาคตก็เริ่มจะผนวกเข้าไปในไลฟ์สไตล์ของคนมากขึ้น ถึงวันนั้น ทั้งชีวิตของคนเราจะเริ่มเชื่อมเข้าสู่โซเชียล เน็ตเวิร์คจนบางทีแทบแยกไม่ออกเลยทีเดียว"

เขาบอกว่า สิ่งหนึ่งที่ทำให้เครือข่ายโซเชียล เน็ตเวิร์คเติบโตได้อย่างรวดเร็ว คือ ความสามารถในการเชื่อมโยงเข้ากับระบบอื่นได้ โดยมีการเปิด "ช่องทางการเชื่อมต่อ หรือ API" ขึ้นมาทำให้นักพัฒนาทั่วโลกต่างพัฒนาเว็บไซต์หรือระบบของตัวเอง เชื่อมกับโซเชียล เน็ตเวิร์คต่างๆ เช่น ผู้ผลิตเกมฟาร์ม วิลล์ พัฒนาเกมบนเฟซบุ๊คขึ้นมาหรือ มีคนพัฒนาระบบทำให้ทวิตเตอร์ เชื่อมโยงกับเฟซบุ๊คได้ เป็นต้น

ขณะที่ความแตกต่างระหว่างโซเชียล เน็ตเวิร์ค ไม่ว่าจะเป็น ไฮไฟว์, เฟซบุ๊ค และทวิตเตอร์ นั้น เขาระบุว่า ทวิตเตอร์ใช้ในการสื่อสาร (Communication) เป็นหลัก แต่ขณะที่เฟซบุ๊ค และไฮไฟว์ เริ่มเปลี่ยนตัวเองเป็นแพลตฟอร์มที่สามารถมีแอพพลิเคชั่น หรือบริการอื่นๆ ให้บริการบนตัวเองได้

มองอนาคตเครือข่ายสังคม
นายภาวุธ ยังวิเคราะห์ถึงเทรนด์โซเชียล เว็บ ด้วยว่า เครือข่าย หรือเน็ตเวิร์คจะกว้าง เข้าถึงกลุ่มคนได้มาก รองรับคนทั่วโลกได้เพิ่มขึ้น เช่น ฟังก์ชันการแปลภาษาอัตโนมัติ จะทำให้เกิดการสื่อสารข้ามเชื้อชาติได้ง่าย นั่นหมายความว่า ณ วันนั้นจะเกิดเหตุการณ์ที่เรียกว่า "Cross Culture Social Network"

"ช่องทางการเข้าถึงจะมีเพิ่ม และง่ายขึ้น จะเริ่มผสานเข้ากับชีวิตคนเราได้มากขึ้น เช่น ผมขับรถปุ๊บ รถก็จะส่งข้อความไปยังโซเชียล เน็ตเวิร์คได้ทันที พร้อมบอกตำแหน่งของผมผ่านจีพีเอสลงในแผนที่ของ กูเกิล แมพ อย่างเรียลไทม์"

นายภาวุธ บอกว่า ต่อไปโซเชียล เว็บจะมีความเป็น ออโตเมติกมากขึ้น ในเรื่องของการส่งข้อมูล หรือการเข้าถึง ต่อไป ผู้ใช้งานอาจไม่จำเป็นต้องเข้ามาพิมพ์หรือ กดอะไรเพื่อส่งข้อมูลเข้าโซเชียล เน็ตเวิร์ค เพราะอุปกรณ์ต่างๆ หรือสิ่งที่อยู่รอบตัวเรา อาจจะสามารถตรวจจับความเคลื่อนไหวเราเอง และดึงข้อมูลจากเราเข้าสู่โซเชียล เน็ตเวิร์ค ได้โดยอัตโนมัติ

เขาระบุว่า เว็บพวกนี้จะฉลาดมากขึ้น จนเริ่มเข้าใจ และวิเคราะห์ พฤติกรรมคนในโซเชียล เว็บได้ดีมากขึ้น ทำให้สามารถเข้าถึง และเข้าใจถึงพฤติกรรมของแต่ละคนได้ และจะเกิด "กลุ่ม" ใหม่ที่ "ลึก" และ "เฉพาะ" ซึ่งจะเกิดจากความก้าวหน้าของวิทยาการด้านเทคโนโลยี และวิเคราะห์ข้อมูลอย่างรวดเร็ว ซึ่งผมคิดว่า คลาวด์ คอมพิวติ้ง + อินเทอร์เน็ต + โซเชียล เน็ตเวิร์ค จะเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปได้อย่างรวดเร็ว

ขณะเดียวกัน จะเริ่มเห็น โซเชียล เน็ตเวิร์ค เฉพาะที่จะเข้าถึงคนเฉพาะกลุ่มมากขึ้น กลายเป็น "Social on Social" หรือ "สังคม ใน สังคม" สังคมเล็กๆ จะซ้อนทับในสังคมใหญ่ๆ อีกที

แนะเทคนิคต้องขายทางอ้อม
นายภาวุธ ยังได้เล่าเทคนิคของการนำโซเชียล เน็ตเวิร์ค มาใช้กับการตลาด และธุรกิจกิจในยุคนี้ด้วยว่า ควรคำนึงถึงกลุ่มเป้าหมายที่จะสามารถเข้าถึงได้เป็นหลัก ซึ่งกลุ่มวัยรุ่น และวัยทำงาน อายุระหว่าง 25-40 ปี จะเข้าถึงช่องทางนี้ได้มากที่สุด ขณะเดียวกัน ไม่ควรสื่อสารจากแบรนด์สินค้า หรือบริการตรงๆ เพราะคนจะไม่ค่อยติดตาม และให้ความสนใจกับสิ่งที่เจ้าของสินค้า หรือแบรนด์พูดมากเท่าไร

"ควรใช้การกระตุ้น หรือมีกลยุทธ์ที่ให้คนที่มีอิทธิพล (Influencer) พูดถึงสินค้า หรือแบรนด์ของคุณแทน เพราะจะทำให้คนทั่วไปสนใจ และพูดถึงสินค้าหรือแบรนด์ของคุณตามไปด้วย มีตัวเลขที่น่าสนใจ ระบุว่า 86% ของคนทั่วไปมักไม่เชื่อสิ่งที่สินค้าพูดถึงตัวเอง แต่ 78% ของคนทั่วไปมักเชื่อในสิ่งที่คนอื่นพูดถึงแบรนด์ตัวเองมากกว่า"

อย่างไรก็ตาม เขายังระบุด้วยว่า การขาย หรือสื่อสารข้อมูลสินค้าตรงๆ ผ่านโซเชียล เน็ตเวิร์ค ผ่านทางแบรนด์สินค้านั้น ดูจะเป็นทางที่เพิ่มยอดขายได้น้อยกว่า แต่สิ่งที่น่าสนใจมากว่าก็คือ การขายแบบอ้อมๆ (in-direct) ที่จะให้คนอื่นพูดถึง และบอกต่อกันไปผ่านโซเชียล เน็ตเวิร์ค

ทั้งนี้ เขาเห็นว่า โซเชียล เน็ตเวิร์คจะใช้ในการสื่อสาร ส่งข้อความมากกว่าที่จะใช้สร้างยอดขาย หรือปิดการขาย แต่การปิดการขาย หรือการขายของได้ยังคงต้องอาศัยเว็บไซต์ เป็นเครื่องมือในการปิดการขายอีกตัว โดยลักษณะจะเป็นการเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน

"ดังนั้นนักการตลาดที่ดีต้องเข้าใจ และสามารถวางกลยุทธ์ ผสมผสานโซเชียล เน็ตเวิร์ค เข้ากับอีคอมเมิร์ซให้ได้อย่างกลมกลืนที่สุด เมื่อนั้นโซเชียล เน็ตเวิร์คจะสามารถสร้างยอดขายให้กับ สินค้าหรือแบรนด์ได้อย่างมหาศาลเลยทีเดียว"

รุกคืบเข้าวงการแพทย์
นพ.ก้องเกียรติ เกษเพ็ชร์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทโอเพ่นซอร์สเทคโนโลยี กล่าวว่า ความแพร่หลายของ "โซเชียล เว็บ" ยังเข้าไปเปลี่ยนวิธีคิดในวงการแพทย์ โดยปัจจุบันแพทย์ในสหรัฐอเมริกาถือเป็น "ผู้นำ" ด้านการใช้ช่องทางโซเชียล เว็บพูดคุยกับคนไข้ รวมไปถึงการพัฒนาเว็บที่สามารถสื่อสารได้สองทาง

มีหมอจากโรงพยาบาลหลายรายใช้วิธีคุยผ่าน "ทวิตเตอร์" กับผู้ป่วย หรือหาแนวทางในการรักษาร่วมกันระหว่างผู้ป่วย และผู้รักษา รวมไปถึงการเขียนโน้ตสั้นๆ เกี่ยวกับความรู้จากการประชุมเชิงวิชาการ หรือวิธีการป้องกันโรคต่างๆ เผยแพร่ผ่านตัวอักษรแค่ไม่เกิน 140 ตัว

"ในต่างประเทศ โดยเฉพาะอเมริกา รวมไปถึงประเทศแถบยุโรป สแกนดิเนเวีย ผมเห็นชัดเจนว่า หมอใช้ทวิตเตอร์ เฟซบุ๊ค พูดคุยกับคนไข้เยอะมาก ขณะที่ในไทยเริ่มมีให้เห็น แต่ไม่มากนัก ในต่างประเทศนิยมนำงานวิจัยด้านการแพทย์ที่เป็นประโยชน์กับคนอ่านขึ้นบนทวิตเตอร์กันมาก แค่เขียนข้อความสั้นๆ แล้วใส่ลิงค์ที่ต้องการอ่านเพิ่มเติมลงไป ขณะเดียวกันก็ ในต่างประเทศมักจะใช้ทั้งทวิตเตอร์ และเฟซบุ๊ค สร้างกลุ่ม หรือจับกลุ่มคอมมูนิตี้ในหมู่ผู้ป่วยที่เป็นโรคลักษณะเดียวกัน พูดคุย แลกเปลี่ยน ให้กำลังใจ มีหมอที่ชำนาญการณ์ในโรคนั้นๆ เข้ามาตอบคำถาม และแนะนำ"

ทั้งมีสถิติที่น่าสนใจพบว่า 61% ของผู้ป่วยวัยรุ่นชาวอเมริกัน มักจะดูข้อมูลการรักษาพยาบาลผ่านทางเว็บไซต์ ขณะที่ 59% ของผู้ป่วยวัยรุ่นจะค้นหาข้อมูลโรคภัยไข้เจ็บ หรือวิธีการรักษาสุขภาพผ่านทางเว็บ 2.0 บล็อก หรือโซเชียล เว็บทั้งหลาย ซึ่งจะรีวิวการรักษาพยาบาล การปฏิบัติตัวจากผู้ป่วยในโรคนั้นๆ ทั้งรูปแบบข้อความ รวมถึงวีดิโอภาพเคลื่อนไหว ซึ่งเป็นช่องทางสื่อสารยอดนิยมของผู้ป่วยวัยรุ่นชาวอเมริกันเลยทีเดียว

ทั่วโลกโซเชียล เว็บบูมสุดๆ
ด้านนายวรวิสุทธิ์ ภิญโญยาง นักคิดด้านนิวมีเดีย และผู้ก่อตั้งทวิตเตอร์ด้านการตลาด www.mkttwit.com กล่าวว่า ปัจจุบันเฟซบุ๊ค มีสมาชิกอยู่ทั่วโลกกว่า 350 ล้านคน ซึ่ง 70% เป็นผู้ใช้นอกสหรัฐ และหากมองเฟซบุ๊คเป็นประเทศ ก็เป็นประเทศที่มีประชากร อันดับ 3 ของโลก รองจาก จีน และอินเดีย และมากกว่าสหรัฐที่อยู่อันดับ 4 อยู่ประมาณ 50 ล้านคน ส่วนทวิตเตอร์มีคนใช้ทั่วโลกมากกว่า 30-40 ล้านคน

ความแรงของโซเชียล เว็บ ยังมาถูกจังหวะกับการขยายตัวเพิ่มมากขึ้นของมือถือ และสมาร์ทโฟน ด้วยต่างเป็นตัวเร่งกระแสให้มีคนใช้โซเชียล เว็บเพิ่มมากขึ้นไปอีก เพราะสามารถใช้ได้ทุกที่ ทุกเวลา

มีรายงานระบุว่า ทั่วโลกมีผู้ใช้เฟซบุ๊คด้วยมือถือ ประมาณ 65 ล้านคนทั่วโลก (เท่ากับประชากรไทยทั้งประเทศ) มีหน้า Fan Page ที่สร้างโดยองค์กรธุรกิจ กว่า 700,000 เพจ มีสมาชิก Fan Page โดยรวม 5.3 พันล้านคน มีรูปภาพกว่า 2,500 ล้านรูปที่ถูกอัพโหลดขึ้นเฟซบุ๊คในแต่ละเดือน ขณะที่ผู้ใช้แต่ละคนใช้เวลาเฉลี่ยบนเฟซบุ๊คประมาณ 55 นาที

ทั้งนี้ มีผู้ประเมินว่า บนเฟซบุ๊ค โดยเฉพาะในส่วนของเกมต่างๆ เช่น ฟาร์มวิลล์, มาเฟีย วอร์, คาเฟ่ เวิลด์ ฯลฯ มีเม็ดเงินสะพัดมากกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์ มีคนเล่นทั่วโลกมากกว่า 55 ล้านคนต่อวัน

"ในไทยตอนนี้ มีสินค้า และบริการ เข้ามาใช้ช่องทาง โซเชียล เว็บ ทั้งทวิตเตอร์ และเฟซบุ๊คมากกว่า 100 แบรนด์สินค้า และคาดว่าปี 2553 แนวโน้มที่แบรนด์สินค้าต่างๆ จะหันมาใช้ช่องทางนี้โปรโมท รวมถึงทำตลาด เพิ่มสูงขึ้นอีกอย่างก้าวกระโดด" นายวรวิสุทธิ์ กล่าว